ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ชีวิตทางเลือก

๑o ม.ค. ๒๕๕๘

ชีวิตทางเลือก

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๘

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) .หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

 

ถาม : เรื่องความสงสัย

ผู้หญิงตั้งครรภ์ประมาณ ๑ เดือน แต่ตัวอ่อนไม่สมบูรณ์ จึงแท้งโดยธรรมชาติ อยากเรียนถามหลวงพ่อว่า ตัวอ่อนมีวิญญาณหรือไม่เจ้าคะ กราบขอบพระคุณหลวงพ่อที่เมตตาตอบคำถามด้วย

ตอบ : เขาว่า ผู้หญิงตั้งครรภ์ ๑ เดือนมันมีวิญญาณหรือไม่

มี มีแน่นอน ปฏิสนธิปั๊บนี่เกิดแล้วแหละ เวลาเกิดขึ้นมาแล้ว สิ่งที่เกิด ทีนี้สิ่งที่เกิด ทีนี้ตัวอ่อนไม่สมบูรณ์ ถ้าตัวอ่อนไม่สมบูรณ์ เกิด เกิดแล้วไม่ตลอดรอดฝั่ง

ในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาปฏิสนธิแล้ว อยู่ในครรภ์ตลอด คลอดออกมาก็ได้ ตายคาในครรภ์ก็ได้ แล้วเกิดมาแล้วจะตายตอนเกิดใหม่ก็ได้ ตายตั้งแต่เป็นเด็กก็ได้ ตายตั้งแต่เป็นผู้ใหญ่ก็ได้ ตายเป็นผู้เฒ่าก็ได้ นี่การตาย

ฉะนั้นบอกว่าผู้หญิงตั้งครรภ์ ๑ เดือน ตัวอ่อนไม่สมบูรณ์ จึงได้แท้งโดยธรรมชาติ กราบเรียนถามหลวงพ่อว่า ตัวอ่อนนี้มีวิญญาณหรือไม่

พอบอกว่ามีวิญญาณปั๊บ มันก็บอกว่าเป็นเวรเป็นกรรมแล้ว เป็นบาป เราทำบาปแล้ว

มีคนมาทำบุญที่นี่เยอะนะ เวลาทำบุญเสร็จแล้วบอกว่า ทำบุญให้กับว่า บางทีเขามีความไม่พร้อม เขาไปทำแท้ง หรือว่าเขาประสบอุบัติเหตุแล้วแท้ง ทีนี้คนไปคิดเองว่าเป็นกรรมของเราหมดเลยไง พอมันมีสิ่งใดแล้วก็เป็นความผิดของเราคนเดียว แต่ผู้ที่มาเกิดเขาก็มีกรรมของเขา ผู้ที่มาเกิดเขามีกรรมของเขา เพราะนี่ไง

เขาบอกว่า ตัวอ่อนไม่สมบูรณ์ จึงแท้งโดยธรรมชาติ

แท้งโดยธรรมชาติ เขาก็แท้งโดยธรรมชาติ ธรรมชาติเขาแท้งไป เราไม่ได้ทำอะไรเลย เราก็พยายามดูแลของเรา แต่มันแท้งโดยธรรมชาติ ถ้าแท้งโดยธรรมชาติ สิ่งนั้นแท้งโดยธรรมชาติ เขามีวิญญาณหรือไม่

ถ้าบอกว่ามีปั๊บ เราก็บอกว่าอย่างนี้เราก็มีเวรมีกรรม

ใช่ เราก็มีเวรมีกรรมอยู่แล้ว เพราะมีการเกิด เกิดอยู่ในครรภ์ของเรา เกิดในครรภ์ของมนุษย์แล้วแท้งไป การมาเกิดอยู่กับเรามันได้มีความสัมพันธ์กันไหม มันมีความสัมพันธ์อยู่แล้ว มันอยู่ในร่างกาย มันมีอยู่แล้ว ฉะนั้น ในความสัมพันธ์นี้มันมีอยู่แล้ว

ฉะนั้นบอกว่า ถ้ามันแท้งโดยธรรมชาติ ธรรมชาติก็จบกันไป มันก็มีความกระเทือนใจเราด้วยแหละ ทุกคน คนที่มีลูกยาก คนที่อยากจะมีลูก คนที่อยากมีลูกเขาต้องทำกิฟต์ เขาต้องแสวงหา เขาหมดเงินหมดทองมากเลย เพื่ออยากจะมีลูก

แต่คนที่ไม่ต้องการมีลูก ดูสิ เราไปส่งของทางสาขานี้เยอะมาก ไปแล้วเห็นทุกทีนะ แม่เดินหน้า ลูกเดินเป็นแถวอย่างกับลูกเป็ดเลย เขาไม่มีการวางแผนครอบครัว พวกกะเหรี่ยงเขาไม่มีการวางแผนครอบครัว ลูกเยอะมาก ไปเถอะ ลูกนี่เยอะมากเลย

เวลาคนต้องการนะ เราอยากมีลูก มีลูกยาก คนที่เขาไม่ต้องการ คือว่าเขาไม่อยากให้มีมากจนเกินไป แต่มันก็มีโดยธรรมชาติ เพราะเขาดำรงชีวิตแบบนั้น ถ้าดำรงชีวิตแบบนั้น สิ่งนี้มันเป็นเรื่องถ้าเรามีการศึกษา เรามีต่างๆ เราพิจารณาของเรา แต่ถ้ามันสุดวิสัย มันก็เป็นเรื่องเวรเรื่องกรรม

ฉะนั้น สิ่งที่ว่าเวลาเขาแท้งโดยธรรมชาติ มันจบนะ

ทีนี้เราจะพูดเรื่องทางโลก เรื่องความเห็น เรื่องความเห็นเวลาทำแท้ง เวลาทำแท้งมันมีกรรมไหม ถ้าเราตั้งใจเจตนาทำ มันมีกรรมอยู่แล้ว แต่ถ้ามันเรื่องธรรมชาติ เรื่องธรรมชาติมันสุดวิสัย พอสุดวิสัย มันก็ต้องมีความกระเทือนใจ มันมีความกระเทือนใจ ความกระเทือนใจของเรามันก็บอกอย่างนี้ นี่ผลของวัฏฏะ การเวียนว่ายตายเกิดมันเป็นทุกข์อย่างนี้

เวลามันสะเทือนใจ เรามีความทุกข์ใจ เราระลึกถึงธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย การเวียนว่ายตายเกิดมันมีทุกข์อย่างนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอก เกิดมาแล้ว เกิดมาเป็นชาวพุทธ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ถ้าเรามีความสามารถ เราประพฤติปฏิบัติของเรา เราจะพ้นจากทุกข์ไปเลย ถ้าพ้นจากทุกข์ไปเลย นี่มันเป็นวิมุตติสุข ถ้าวิมุตติสุข มันสุขอย่างไร

แต่นี่เรามีความสุข สุขโดยขันธ์ โดยสมมุติ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อุเบกขาเวทนา มันมีความสุขความทุกข์ มันสับปนกันไป ถ้าจิตใจคนมีปัญญามันระลึกได้ เราก็มีจุดยืนของเรา มีสิ่งใดที่กระทบกระเทือน เพราะเราทำบุญกุศล เราไม่ใช่ทำบุญกุศลเพื่อเรา เราทำบุญกุศลเพื่อสร้างบารมี แต่บุญกุศล อุทิศส่วนกุศล เจ้ากรรมนายเวร ถ้ามีแต่ภพใดชาติใด เจ้ากรรมนายเวรต่างๆ มา อุทิศส่วนกุศล อุทิศส่วนกุศลไป

นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันมีผลกระทบกระเทือนต่อกัน เราระลึกถึงกัน เราทำคุณงามความดีถึงกัน สพฺเพ สตฺตา สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น

เวลาเขามากำเนิด เขาจะมาเกิด เพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ขอจงมีความสุขๆ เถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย ความเบียดเบียนซึ่งกันและกันก็เบียดเบียนหัวใจไง เบียดเบียนหัวใจ ทำให้จิตใจเรากระทบกระเทือนไง

แต่ถ้าเราก็มีความรู้สึก เรามีชีวิต เราก็มีความรู้สึก แต่เราทำความรู้สึกโดยตามธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไง ให้ทำความดีถึงกัน ให้ระลึกถึงกัน มีผลกระทบกันแล้วก็ให้อภัยต่อกัน ให้มันผ่านๆ ไปไง เราก็ทำคุณงามความดีของเราไป

นี่พูดถึงว่าถ้ามันแท้งโดยธรรมชาติ

ถ้าทำแท้งโดยเจตนา เห็นไหม ถ้าเจตนา เขาเป็นกรรมหรือไม่เป็นกรรม มันเป็นกรรมไหม

เป็นแน่นอน แต่มันไม่มีผลตามกฎหมาย ถ้าผลตามกฎหมาย ดูสิ การฆ่าคน ถ้าการฆ่าคนมีผลทางกฎหมายนะ

ทีนี้เวลาทำแท้งนี่ฆ่าคนไหม ทีนี้มันยังไม่มีผลตามกฎหมาย แต่มันมีผลของกรรม กรรมมันให้ผลอยู่แล้ว

ถ้ากรรมมันให้ผล เราไม่เจตนาทำ

ทีนี้คนเจตนาทำ บางคนมันมีความจำเป็น บางคนมีความไม่พร้อมต่างๆ ถ้าทำสิ่งนั้นไป นั่นมันเป็นเรื่องของเขา นั่นเป็นเรื่องของเขานะ เพราะว่านี่มันเป็นทางเลือก เป็นทางเลือกของคน

คนจะมีทางเลือกอย่างไรเพื่อประโยชน์กับเรา ถ้าประโยชน์กับเรา มันเป็นทางเลือก มันเป็นเรื่องของกรรม เรื่องของกฎหมาย เรื่องความเห็น โดยความเห็นโดยปกติในปัจจุบันนี้ ถ้าเด็กมันไม่สมบูรณ์ มันควรทำหรือไม่ควรทำ ไอ้นี่มันความเห็นของทางการแพทย์เขา ถ้าการแพทย์เขาเตือนแล้ว บางคนมีพ่อแม่ เขาบอกเลยว่า ทางการแพทย์เขาเตือนแล้วว่าเด็กเกิดมาแล้วมันผิดปกติ แต่ด้วยความผูกพัน เขาก็รักษาของเขา เขาดูแลของเขา แต่เรามาดูแลแล้ว มันเป็นเรื่องที่ว่ามันสุดวิสัย เรื่องของกรรม เรื่องของกฎหมาย เรื่องทางวิชาการ อันนั้นเป็นเรื่องสังคมหมดเลย แต่เรื่องจริงๆ คือเรื่องหัวใจของเรา ถ้าหัวใจของเรา

เขาเขียนมาว่ามีความสงสัย ถ้าสงสัยอย่างนี้ มันมีวิญญาณหรือไม่

มี เพราะเขาเกิดแล้ว แล้วเขาเกิดโดยไม่สมบูรณ์ เขาเกิดโดยคลอดออกมาไม่ได้ เขาก็สิ้นชีวิตของเขาไป นี่เกิดในวัฏฏะ ถ้าเกิดในวัฏฏะ เวลาเกิดในวัฏฏะลุ่มๆ ดอนๆ ความลุ่มๆ ดอนๆ ของเรามันมีอยู่ด้วยเวรด้วยกรรม อย่างเราเกิด เราเกิดมาเป็นพ่อเป็นแม่เป็นลูกกัน นี่พันธุกรรม

เวลาพันธุกรรม เราได้พันธุกรรมจากพ่อจากแม่มา เราได้พันธุกรรมจากพ่อจากแม่มา แต่นิสัยใจคอนี่ของเรา จิตใจนี้เป็นของเรา แต่เราเกิดมาด้วยพันธุกรรมของพ่อของแม่ อันนี้มันก็จำกัดแล้ว จำกัดว่านี่ผลของวัฏฏะ เพราะเรามีเวรมีกรรมต่อกัน เรามาเกิดร่วมกันไง

เรามาเกิดร่วมกัน พันธุกรรมมันได้มา ได้พันธุกรรมของพ่อของแม่มา แล้วถ้าพันธุกรรม ดูสิ คนที่พันธุกรรมอย่างนั้นมันก็จะมีโรคภัยไข้เจ็บไปข้างหน้า แต่ถ้าคนแข็งแรงมันก็ไปแข็งแรงของมันไป แต่ถ้าพันธุกรรมของเขาเป็นอย่างนั้น แต่จิตใจของเขาเข้มแข็ง จิตใจเขาทำสิ่งใดได้

สิ่งนี้วิทยาศาสตร์มันเจริญขึ้นมา เขาคัดเลือกได้ เขาคัดเลือกแยกเพศได้ เขาแยกได้ต่างๆ เลยนะ แต่ทำอย่างนั้น ทำอย่างนั้นมันก็ต้องมีผลกระทบมาก แต่ถ้าโดยธรรมชาติมันก็เกิดโดยเวรโดยกรรม เกิดโดยผลของวัฏฏะ

แต่อันนี้เขาบอกว่ามันแท้งโดยธรรมชาติ พอแท้งโดยธรรมชาติ มันมีวิญญาณ ตัวอ่อนมีวิญญาณหรือไม่

เพราะเขาตายแล้ว ตายแล้วถึงตกเลือด แล้วร่างกายขับออกมา ถ้าเป็นธรรมชาตินะ นี่มีวิญญาณหรือไม่ เพราะว่าถ้ามันมีวิญญาณ เราจะไปเห็นหรือไม่ เราจะไปเจอหรือไม่

กรณีนี้เป็นกรณีสมัยพุทธกาล กษัตริย์เขาไม่เชื่อว่ามีภพมีชาติ เวลาเขาจะฆ่านักโทษนะ เขาเอาแก้วครอบไว้ เขาจะดูวิญญาณออกไง แล้วพอเขาหาไม่ได้ เขาพิสูจน์ไม่ได้ เขาก็เอานักโทษประหาร บอกประหารนะ ถ้าเอ็งไปสวรรค์ เอ็งกลับมาบอกข้าด้วย ถ้าเอ็งไปนรก เอ็งบอกข้าด้วย แล้วเขารอคนมาบอก ไม่มาบอกสักที เขาก็เลยเชื่อว่า นรกสวรรค์ไม่มี ไม่มีภพไม่มีชาติ

จนสุดท้ายแล้วพระสารีบุตรหรือพระกัสสปะ จำไม่ได้ ไปทรมานเอา ไปทรมานเอาบอกว่ามันมีอยู่จริง

ถ้าเขาไปสวรรค์ ทำไมไม่มาบอกเขาล่ะ

ก็บอกว่า ถ้าเขาไปสวรรค์แล้ว สวรรค์มันเป็นสิ่งที่สะอาดบริสุทธิ์ใช่ไหม เขาไม่กลับลงมาคลุกขี้หรอก

ถ้าเขาไปนรกล่ะ

นรกเขาโดนกักขังอยู่ เขามาไม่ได้

พอพูดจนกษัตริย์เขามีความโน้มเอียง ความเชื่อ เพราะอาจารย์เขาสอน เขาบอกว่า เออ! เขายอมเชื่อว่านรกสวรรค์มี พอเขายอมเชื่อแล้วเขาบอกให้ประกาศว่านรกสวรรค์มี เขาต้องให้กษัตริย์ประกาศออกมา มันจะได้เป็นความมั่นคงของศาสนา

เขาไม่ยอม เขาบอกเขาเชื่อแล้ว แต่เขาประกาศไม่ได้ นี่ทิฏฐิของคนไง แต่ก็ได้ทรมานให้เขามีความเห็นถูก

ไอ้นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราบอกว่ามันมีวิญญาณหรือไม่

เราพูดนี่เราห่วงไง เราห่วงจิตใจของคน

ถ้ามีวิญญาณอยู่หรือไม่ มันจะกระทบกระเทือนเราหรือไม่ มันจะมีความผูกพันหรือไม่

มันเป็นการกดดันตัวเอง มันเป็นการกดดันหัวใจเราเองว่ามันจะเป็นโทษของเราหมดเลย ทั้งๆ ที่มันแท้งโดยธรรมชาติ เราก็จะบอกว่าจะเสียหายไปหมดเลย แต่มีอย่างเดียว มีอย่างเดียวว่า หนึ่ง ถ้าเราอยากมีบุตร แล้วมันไม่มี เราก็เสียใจ บางคนมีบุตรยาก เขาอยากมีบุตรมากจริงๆ

ไอ้กรณีนี้ต้องศึกษาธรรมะ แล้วมีธรรมเป็นที่พึ่ง เราเกิดในวัฏฏะ จิตวิญญาณนี้เกิดในวัฏฏะเหมือนกัน เกิดในวัฏฏะเหมือนกัน ถ้าเกิด ขอให้ผู้ที่มีบุญมีกุศลมาเกิดกับเรา ขอให้มีความสุขไง

แต่ถ้ามันมีผลกระทบอย่างนี้แล้วมันก็ต้องเป็นแบบผลของวัฏฏะ คือเป็นผลของเวรของกรรม ผลของเวรของกรรม แล้วถ้าปรารถนาอย่างไรก็ทำอย่างนั้นต่อไป นี่มันเป็นธรรมชาตินะ จบ

ทีนี้มันมาอีกอันหนึ่งสิ

ถาม : เรื่องพบการขายหนังสือประวัติหลวงปู่มั่น

กราบนมัสการหลวงพ่อที่เคารพ ครั้งนี้กระผมไม่ได้สอบถามเรื่องธรรมะ แต่อยากกราบเรียนหลวงพ่อเพื่อทราบ เพื่อจะได้พิจารณาต่อไปครับ ซึ่งหลวงพ่อจะตอบหรือไม่นั้น ให้เป็นไปตามอัธยาศัยของหลวงพ่อครับ

กระผมเข้าวัดหลวงพ่อบ่อยๆ มีหนังสือธรรมะจากวัดหลายเล่ม โดยเล่มที่กระผมสนใจก็จะขอมาอ่าน และเมื่ออ่านเสร็จแล้วก็จะมอบให้กับผู้ที่สนใจที่อยากได้ต่อไปครับ ส่วนเล่มที่กระผมอ่านเสร็จแล้ว และอ่านทบทวนประจำ กระผมจะเก็บไว้ครับ เช่น ปลูกดอกบัวที่ใจ เล่มนี้ผมชอบมาก ประวัติหลวงปู่มั่น เป็นต้น

วันหนึ่งผมเดินไปที่ร้านหนังสือกับเพื่อนเพื่อหาหนังสือสวดมนต์ ผมเห็นที่ชั้นหนังสือของทางร้านเป็นหนังสือประวัติหลวงปู่มั่น ฉบับที่หลวงพ่อแจกอยู่ที่วัด ปะปนกับหนังสือเล่มอื่นอยู่

ผมรู้สึกสลดหดหู่มาก และเพื่อนที่ไปด้วยกันก็เห็นกำลังอ้าปาก ผมเลยส่งสัญญาณให้พูดเบาๆ จึงขอกราบเรียนหลวงพ่อมาเพื่อทราบครับ ไม่รู้ว่าร้านอื่นจะเอาไปขายหรือเปล่าไม่รู้ครับ และขายเล่มอื่นๆ นอกจากหนังสือประวัติหลวงปู่มั่นหรือเปล่าครับ นมัสการหลวงพ่อด้วย

ตอบ : อันนี้มันเป็นความปรารถนาดีของคน เขาไปเห็น คนที่จิตใจเป็นธรรม สิ่งที่ว่าเราเป็นชาวพุทธ เวลาเราพูดถึงการทำบุญกุศล ให้ธรรมเป็นทานๆ ประเสริฐกว่าการให้ทั้งปวง ให้ธรรมเป็นทานคือให้ปัญญา ให้การศึกษา นี่พอให้ธรรมเป็นทานปั๊บ เราก็พยายามจะพิมพ์หนังสือแจกกัน

ทุกคนให้ธรรมเป็นทาน เวลาที่ไหนมีการพิมพ์หนังสือธรรมะ เราจะร่วมด้วยๆ เพราะเราอยากได้บุญกุศลไง ทีนี้การร่วมด้วยๆ ถ้าร่วมด้วย ถ้ามีครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นธรรม เราก็สมควร ทำที่เป็นประโยชน์ ถ้าทำที่เป็นประโยชน์

หนังสือนั้นมันเป็นโทษหรือเป็นคุณ

หนังสือนั้น บางทีถ้าครูบาอาจารย์ที่ท่านยังไม่รู้รอบ เวลาทำสิ่งใดไปมันมีการขาดตกบกพร่อง การชี้นำที่ผิด ถ้าเราส่งเสริมไป มันก็ให้ธรรมเป็นทานที่ไม่สะอาดบริสุทธิ์

ฉะนั้น เวลาให้ธรรมเป็นทานนะ เวลาครูบาอาจารย์ของเรา หลวงตาท่านทำเป็นตัวอย่าง ท่านให้ธรรมเป็นทาน ท่านอยากให้ธรรมเป็นทานแล้วให้เป็นตัวอย่างด้วย ให้เป็นความสะอาดบริสุทธิ์ เวลาท่านให้ ท่านให้เขาไปเลย เรามีปัญญาเท่าไร เราก็ให้เท่านั้น ให้เพื่อประโยชน์ไง

แต่ถ้าเป็นทางโลก เวลาเขาให้ เขามีต้นทุนของเขา เขาให้แล้วเพื่อจะได้พิมพ์หนังสือต่อเนื่องไป เขาก็ต้องมีการแลกเปลี่ยน

หลวงตาท่านบอก อย่างนั้นมันให้ด้วยความไม่สมบูรณ์ มันมีการแลกเปลี่ยน ท่านบอกว่า ศาสนาพุทธ พระพุทธศาสนา ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันไม่ควรมีการแลกเปลี่ยน มันควรมีการเสียสละทาน

เพราะทาน สมัยโบราณนะ สมัยโบราณเรา เรื่องการแลกเปลี่ยนนี่เขารังเกียจนะ เพราะอะไร เพราะพระ ในวินัยของพระห้ามซื้อขายแลกเปลี่ยน พระห้ามต่อรองราคา ถ้าการต่อรองราคาต่างๆ เป็นอาบัติหมดนะ เว้นไว้แต่วิสาสะ วิสาสะพระกับพระ เราแลกบริขารกัน เวลาพระไปซื้อไปขายไม่ได้ทั้งนั้นน่ะ

ทีนี้เพียงแต่ว่าเวลาเรามาบวชพระ คนมาบวชพระ พระก็ต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย โยมก็ต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย พอมีปัจจัยเครื่องอาศัย ไปคุ้นชิน พอคุ้นชินขึ้นไป พอใช้ชีวิตทางโลก บวชเป็นพระแล้วก็ยังไปซื้อของ ยังไปต่อรองราคา นึกว่าตัวเองยังเป็นคฤหัสถ์อยู่ไง นึกว่าเรายังเป็นคฤหัสถ์ ยังไปต่อรองราคากับเขา

ทีนี้พระ ถ้าพระที่ครูบาอาจารย์ท่านไปทำอย่างนั้น ดูสิ ถ้าพระเราอยู่ในหลักในเกณฑ์เขาจะมีการกสงฆ์ทำการแทน มีไวยาวัจกร ไวยาวัจกรเป็นผู้ไปหาให้ เป็นผู้แลกเปลี่ยนมาให้ พระเราจะไม่ลงไปทำขนาดนั้น ถ้าพระที่ยังมีความสำนึกว่าตัวเองเป็นพระไง แต่พระที่ไม่มีความสำนึก ว่ามันมีความจำเป็น เราต้องมีความจำเป็น เราต้องใช้อย่างนั้น นั่นมีการแลกเปลี่ยน

นี่ก็เหมือนกัน หลวงตาท่านบอกว่า เวลาเป็นธรรมะๆ ถ้าเราทำได้ เราควรจะให้ทาน ไม่มีการแลกเปลี่ยน พอไม่มีการแลกเปลี่ยน การให้

ทีนี้พอการให้ ทีนี้พอสังคม สังคมสมัยที่ครูบาอาจารย์ท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านทำของท่าน ทุกคนก็เชื่อฟังไง แต่พอเวลาสังคม มันเรื่องระบบไง ดูสิ ระบบของทุนนิยม ระบบต่างๆ เข้ามา มันก็มีการซื้อขาย แล้วก็เข้ามาเป็นพุทธพาณิชย์ เข้ามาในศาสนา เวลาเราไปเจออย่างนั้น เราเห็นพระที่ทำธุรกิจการค้า พระที่เห็นแก่ตัว เราเห็น เรารับไม่ได้กันน่ะ

แต่เวลามีพระดีๆ พระดีๆ หลวงตาท่านทำ หลวงตาเมื่อก่อนท่านพิมพ์หนังสือแจกนะ แล้วสุดท้ายท่านเป็นคนระงับเอง ระงับ บอกว่าหนังสือมันอิ่มตัว เพราะหนังสือท่านมันเข้าไปอยู่ในร้านหนังสือเก่าเยอะ มีคนเอาไปร้านหนังสือเก่า ท่านเลยบอกว่ามันอิ่มตัว ท่านเลยระงับการพิมพ์มาอยู่ช่วงหนึ่ง

ตอนที่สมัยเรายังอยู่กับท่าน ท่านพิมพ์หนังสือแจกอยู่พักหนึ่ง แล้วท่านบอกว่าหยุดแล้ว เพราะว่ามันแจกอิ่มตัว อิ่มตัวคือคนได้กันส่วนใหญ่แล้ว พอได้ไปมันก็ไปเข้าร้านหนังสือ ท่านก็เลยหยุดพิมพ์ หลวงตาที่หยุดพิมพ์หนังสือครั้งก่อนนั้นน่ะ ก็เพราะเรื่องนี้แหละ เรื่องที่หนังสือเข้าไปอยู่ในร้านหนังสือนี่แหละ

ทีนี้บอก หลวงพ่อ ผมไปร้านหนังสือแล้วเห็นหนังสือประวัติหลวงปู่มั่นที่หลวงพ่อแจกเลย แล้วอย่างนี้เลยบอกหลวงพ่อมา หลวงพ่อจะตอบก็ได้ ไม่ตอบก็ได้

ทีนี้ขณะว่าจะตอบก็ได้ ไม่ตอบก็ได้ เพราะโยมไปเอง โยมยังสลดใจใช่ไหม เขาบอกว่า ผมจะไปหาหนังสือ ก็ไปร้านหนังสือเก่า ไปถึงแล้วเห็นหนังสือหลวงพ่อวางอยู่บนชั้นของเขา ผมรู้สึกสลดหดหู่หัวใจมาก

คนที่มีความคิดเขารู้สึกสลดหดหู่ หดหู่เพราะอะไร หดหู่เพราะรู้ไง รู้ที่มาที่ไปใช่ไหม รู้ที่มาที่ไปว่าหนังสือนี้ ประวัติหลวงปู่มั่น หลวงตาท่านเป็นคนเขียนไว้ เป็นคนที่หาประสบการณ์มา หลวงตาท่านไปหาครูบาอาจารย์สมัยที่หลวงปู่มั่นเวลาท่านไม่ได้อยู่เอง ท่านไปหามาจนถึงปีที่ว่าท่านอยู่มาชนถึงปีที่ท่านไปอยู่กับหลวงปู่มั่น ท่านบอกสบายใจได้แล้ว เพราะว่า ๘ ปีนี้เราอยู่กับท่าน เราเห็นหมด ท่านก็เขียนออกมา กว่ามันจะได้ประวัติของครูบาอาจารย์มาโดยที่เป็นข้อเท็จจริง เป็นเนื้อหาสาระ เป็นธรรม เป็นธรรมคือว่าเป็นคติธรรม เป็นสิ่งที่เตือนใจเราได้

ไม่ใช่ประวัติหลวงปู่มั่นที่เขียนโดยจินตนาการ ไม่ใช่ประวัติหลวงปู่มั่นเขียนเพื่อมีผลประโยชน์ทับซ้อน ไม่ใช่ประวัติหลวงปู่มั่นเขียนเพื่อจะยัดเยียดความเห็นความคิดของตัวโดยคิดว่าเป็นหลวงปู่มั่น แล้วแจกกันไป

กว่ามันจะได้มาด้วยความสะอาดบริสุทธิ์มันได้มาด้วยยาก แล้วได้มาแล้ว เวลาท่านพิมพ์ท่านก็พิมพ์แจก พิมพ์แจกๆ เพราะให้ธรรมเป็นทาน เพราะหลวงปู่มั่น ชีวิตของท่านมันขาวสะอาดบริสุทธิ์มา ฉะนั้น พอมาถึงหลวงตา ท่านก็ทำให้มันสะอาดบริสุทธิ์มา มันสะอาดมาตั้งแต่เริ่มต้น สว่างมาตั้งแต่เริ่มต้น สว่างท่ามกลาง แล้วสว่างถึงที่สุด

นี่ก็เหมือนกัน มันสะอาดมา เราก็ทำความสะอาด ทำความสะอาดมา ฉะนั้น ประวัติหลวงปู่มั่นท่านถึงพิมพ์แจก แล้วพอพิมพ์แจก พอท่านไม่อยู่แล้ว ทุกคนก็มีสิทธิ์ไง เพราะหลวงปู่มั่นเป็นบุคคลสาธารณะ ทุกคนก็คิดว่าจะทำได้ๆ

ฉะนั้น เราก็เห็นเหตุการณ์อย่างนี้ เราก็ถึงพิมพ์ประวัติหลวงปู่มั่นบ้าง เราก็มีความตั้งใจจะพิมพ์ประวัติหลวงปู่มั่นเพื่อแจกเป็นทานต่อไป พอแจกเป็นทานต่อไป เราพิมพ์แจก พอพิมพ์แล้วเราก็แจก พอแจกไป คนที่เอาไปแล้วถ้าเอาไปขาย นั้นคือความเห็นแก่ตัวของเขา ความเห็นแก่ตัวของเขา เห็นไหม

สิ่งที่ว่าคำถามแรกเขาบอกว่าผู้หญิงตั้งครรภ์ ๑ เดือน ตัวอ่อนยังไม่สมบูรณ์ แล้วจึงแท้งโดยธรรมชาติ อยากทราบว่าเขามีวิญญาณหรือไม่

วิญญาณไง ชีวิตไง ชีวิตเรา ถ้าเราเกิดมา ชีวิตเรา เรามีสติปัญญา ชีวิตเราเลือกได้ ชีวิตเราเลือกได้ แต่นี้เวลาการเกิด การเกิดนะ กำเนิด ๔ เราเลือกได้ไหม นี่มันเป็นเวรเป็นกรรมไง เป็นเวรกรรม

นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อให้ธรรมเป็นทาน ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเกิดเป็นมนุษย์ขึ้นมาแล้วเรามีสติปัญญา เราจะเลือกทางไหนล่ะ

เวลาคนที่เขาไปเห็นใช่ไหม เราไม่ได้ทำนะ ผู้ถามไม่ได้ทำ พอไปเห็นร้านหนังสือเก่า เราเห็นเรายังสลดหดหู่เลย แล้วค่าของน้ำใจมันมีค่ากว่าเงินทอง

แต่คนที่เอาไปขายเขาบอกเลย มีคนมาฟ้องเราแล้ว บอกเขาไปขายเล่มละ ๒๐๐ แล้วมีลูกศิษย์เราเข้าไปถามที่ร้านหนังสือ บอกว่าหนังสือนี้มาจากไหน

เขาบอกว่า เอามาจากที่วัดนั่นแหละ

แล้วมาได้อย่างไรล่ะ

ก็ขนมาขายเล่มละ ๒๐๐

แล้วทางร้านขายเท่าไร

ขาย ๔๐๐-๖๐๐

เขาก็พูดอย่างนี้

นี่ไง แต่เวลาเราเข้าไป เราเห็นแล้วเราหดหู่ แต่เขาเห็นแก่เงิน ๒๐๐ มันก็วัดค่า นี่เขาเลือกเอา ก็เรื่องเวรเรื่องกรรม ก็เลือกเอา พวกเราตั้งใจทำดี พวกเราทำเพื่อประโยชน์

แต่เขา อย่างผู้ถามเขาบอกว่า ผมเคยไปวัดหลวงพ่อบ่อยๆ แล้วผมก็มีหนังสือหลวงพ่อเยอะมาก แล้วเล่มไหนที่ผมอ่านเสร็จแล้วผมก็แจกต่อเขาไป ถ้าเล่มไหนมันเป็นประโยชน์ เช่นปลูกดอกบัวที่ใจประวัติหลวงปู่มั่น ชอบมาก ก็เลยเก็บไว้อ่านทบทวนบ่อยๆ

เราเก็บไว้มันเป็นประโยชน์ นี่ให้ธรรมเป็นทาน ถ้าให้ธรรมเป็นทาน เขาได้ประโยชน์ แล้วถ้าเขาให้ต่อไป มันก็ได้ประโยชน์ต่อไป นี่ให้ธรรมเป็นทาน

ถ้าหัวใจ ชีวิตทางเลือก เราเลือกสิ่งที่ดี เราก็ทำกรรมดีไง มโนกรรม

แต่เขามาวัด แล้วเขาเอาหนังสือไป เห็นไหม เขามาวัด แต่เขาเอาหนังสือไปเพื่อเงิน ๒๐๐ นี่เขาเลือก ๒๐๐ เขาเลือก ๒๐๐ แต่ผลที่เขาทำล่ะ ผลที่เขาทำ เห็นไหม

นี่ไง บอกว่าทำบุญแล้วได้บุญๆ เป็นคนทำดีทุกคนเวลาพูดนะโอ๋ย! ทำดีทั้งนั้นเลยล่ะ แล้วทำไมผลดีมันไม่มี ทำไมคนอื่นเขาทำดีแล้วได้ดี ทำไมฉันทำดีแล้วไม่ได้ดี

แล้วความดีคืออะไรล่ะ อ้าว! ความดีคืออะไร ถ้าความดีคือ ๒๐๐ กับความดีของคนที่เห็นแล้วมันสลดหดหู่ ความดีของคนที่เขาไปอ่านแล้วเขาซาบซึ้ง คนที่ไปอ่านนะ เขาอ่านแล้วหัวใจเขาเบิกบาน เขาอ่านแล้วหัวใจเขาดีงาม

อ้าว! นี่ไป ๒๐๐ คนมาซื้อ ๒๐๐ เขาไปอ่านต่อเหมือนกัน คนที่เขาซื้อไปเขาก็เบิกบานเหมือนกัน

เวลาคิด เห็นไหม ชีวิตนี้เป็นทางเลือก เราจะเลือกเดินเอา เราจะเลือกเอาเวรเอากรรม เราจะเลือกเอาประโยชน์หรือไม่เลือกเอาประโยชน์ ถ้าเลือกเอาประโยชน์นะ

เราจะบอกว่า ในเมื่อเราเกิดมามันอยู่ในสังคม อยู่ในโลก นี่ผลของวัฏฏะ คำว่าผลของวัฏฏะวัฏฏะคือมันอนิจจัง มันแปรสภาพ มันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เราควบคุมไม่ได้ เราควบคุมสิ่งนี้ไม่ได้หรอก แต่เราก็พยายามจะดูแลให้มันดีที่สุด เพราะเราทำความดีกันไง คนทำความดีต้องมีปัญญานะ

คนทำความดีต้องมีปัญญา ดูสิ ทางโลกเขาจะทำทาน เขาต้องมีปัญญา ถือศีล เขาต้องมีปัญญา แล้วเราภาวนา ภาวนาเพื่อจะเอาชนะตนเอง ปัญญาเรามันจะต้องเป็นปัญญาเหนือโลก ปัญญาที่ไม่ใช่ปัญญาแบบเป็นวิชาชีพอย่างนี้

นี่เป็นแค่วิชาชีพ เรายังต้องมีปัญญา ดูสิ ตอนนี้คนจะตั้งบริษัท เขาจ้างบริษัทที่ปรึกษา เขาทำวิจัยตลาด เขาคิดสินค้าขึ้นมาแล้วเขาไปจ้างโรงงานผลิต โรงงานผลิตเสร็จแล้วเขาก็เอามาจ้างเซลไปขาย เขาแค่บริหาร เขาแค่บริหารอย่างนั้น เขาคิดของเขา เขาดูแลของเขา นี่ปัญญาทางวิชาชีพ

แล้วเวลาเรามีปัญญาๆ เวลาเรามีปัญญา พอเรามีปัญญา เราจะภาวนาของเรา ถ้าเรามีปัญญา ปัญญาอบรมสมาธิ ถ้าเรามีสติมีปัญญา เราจะกำหนดพุทโธ แล้วเกิดถ้าเรามีปัญญา ตั้งแต่สุตมยปัญญา ตั้งแต่จินตมยปัญญา มันจะเกิดภาวนามยปัญญา ปัญญาที่มันละเอียดลึกซึ้งเข้าไป นี่พูดถึงถ้ามันไม่ไปติดกับนะ ไม่ไปติดเหยื่อของกิเลสนะ

แต่ถ้ามันไปติดเหยื่อของกิเลส เวลาเราคิดถึงธรรมะ เราก็เอาโลกมาสวมอ้าว! ก็ผมเอาหนังสือหลวงพ่อมา ผมไปขาย ๒๐๐ หนังสือหลวงพ่อก็แจกต่อไป ผมทำความดีนะ ผมเอาหนังสือไปขยายให้กว้างขวางนะ ผมจะมีกรรมตรงไหน ผมทำดีทั้งนั้นน่ะ

นี่มันปัญญาของเขาไง เขาบอกว่าเขาช่วยส่งเสริม แหม! อุตส่าห์มาเอาหนังสือไปแจก อุตส่าห์เอาหนังสือไปขายเล่มละ ๒๐๐ โอ๋ย! ยังว่าผิดได้อย่างไร โอ๋ย! ทำดีขนาดนี้ ไอ้คนที่มันเอาไปมันไม่เอาไปแจก มันเอาไปเก็บ ของผมเอาไปแจกเลย แจกหนังสือเก่า ขาย ๒๐๐ ขายต่อ เป็นความดีๆ แล้วก็จะมาทวงเอาคุณงามความดี

แต่เวลากรรมมันให้ผล มันจะไปอุทธรณ์กับใครไม่ได้ เวลาเวรกรรมมันมาถึงตัวนะ มันจะไปอุทธรณ์กับใครไม่ได้เลยล่ะ แล้วถ้ามันอุทธรณ์กับใครไม่ได้ เพราะว่าอะไร เพราะมันผิดเจตนาไง

เจตนาของเขา เขาให้กันด้วยน้ำใจ หนังสือเขาแจกไป แจกไปเพื่อจะไปบำรุงสมองของคน จะไปบำรุงหัวใจของคน ให้หัวใจของคนที่มันล้มเหลว ให้หัวใจของคนที่ไม่มีทางออก ให้หัวใจคนที่มันอั้นตู้ ให้มันได้เข็มทิศทางเดินออก เขาแจกเพื่อน้ำใจของคน เขาแจกเพื่อเป็นธรรม เขาไม่ได้ให้เอาไปแจกเป็นการแลกเปลี่ยน ถ้าเป็นการแลกเปลี่ยน มันทำได้หลายทางทั้งนั้นน่ะ เขาไม่ทำ เขาไม่ทำเพราะว่าอะไร เพราะมันลดคุณค่าไง มันลดคุณค่าของธรรมะ เห็นไหม

ถ้าธรรมะที่มันได้มาด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ เริ่มต้นที่มันสะอาดบริสุทธิ์ มันจะให้ผลเป็นความสะอาดบริสุทธิ์ไง

เริ่มต้นมามันเศร้าหมอง เริ่มต้นของมันมีการแลกเปลี่ยน เริ่มต้นของมันมีการได้มีการเสีย เริ่มต้น เห็นไหม แล้วบอกว่าเป็นธรรมะ ธรรมะเพื่อประโยชน์ๆ ไง

ธรรมะอย่างนั้น เพราะถ้าธรรมะอย่างนั้น เวลาคนธรรมะอย่างนั้นมันต้องคิดถึงผลประโยชน์ของตัว ถ้าใครเขียนก็ต้องเขียนถึงอีโก้ของตัว เขียนถึงความเห็นของตัว เขียนถึงสิ่งที่ว่าตัวตนของตัวยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่เหนือทุกๆ อย่างไง แล้วเผื่อแผ่ไง จะไปดึงจักรวาลมาอยู่กับเราหมดไง ถ้ามันเริ่มต้นคิดอย่างนั้นมันก็เป็นอย่างนั้นไง

แต่ถ้าเริ่มต้นมันไม่มีสิ่งใดเป็นของบุคคลใด มันเป็นสัจจะมันเป็นความจริงทั้งนั้น ถ้าเป็นความจริงทั้งนั้น เราก็ช่วยเหลือเจือจานกัน นี่พูดถึงความเห็นนะ พูดถึงว่าเจตนาของเริ่มต้น ความเริ่มต้นเป็นอย่างนี้ ถ้าเริ่มต้นเป็นอย่างนี้

เรื่องที่บอกว่าเอาไปซื้อขายแล้วเพื่อความกว้างขวางน่ะ

มันเป็นความคิดแบบโลก มันเริ่มต้นด้วยความไม่สะอาดบริสุทธิ์

ถ้าเป็นความคิดแบบธรรมะ เห็นไหม ฉะนั้น เขาบอกว่าเวลาเขาไปเห็นแล้วมันสลดหดหู่มาก ผมเลยเตือนเพื่อน พอเห็นเขาอ้าปากจะพูด คนที่ไปเห็นร่วมกัน เราก็เตือนเขา

ขณะที่เราเห็นแล้วเราสลดหดหู่ ทำไมโยมไม่เอะอะมะเทิ่งกับเขาเลยล่ะ

มันเอะอะมะเทิ่งไม่ได้ เพราะในปัจจุบัน ผลของวัฏฏะ คือเรามีเวรมีกรรมร่วมกัน แต่เราจะเอาผิดกับเขาโดยแง่ของกฎหมายไม่ได้ ในแง่ของกฎหมายไม่ได้เพราะอะไร เพราะว่าคำว่าร้านหนังสือเก่าร้านหนังสือเก่าเขาก็รับซื้อหนังสือเก่าอยู่แล้ว แต่หนังสือเก่าโดยทั่วไปมันเรื่องหนึ่ง

แต่นี่ทางวัดเขาไม่ได้พิมพ์ให้ไปขายหนังสือเก่า เขาไม่ได้แจกหนังสือเก่า เขาแจกคน เขาแจกคน แจกผู้ที่มีความสนใจ แต่ไอ้คนที่เอาไปเขาเอาไปด้วยเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ เขาเจตนาเอาไป เขาเจตนาเห็นแก่ตัว การเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว เห็นแก่ประโยชน์ของส่วนตน เขาไม่ได้เห็นแก่สังคม เขาถึงทำกันอย่างนั้น แต่พอเราไปเห็นแล้วเราก็สลดหดหู่นะ

แต่ถ้าผลทางกฎหมายล่ะ ผลทางกฎหมาย เพราะว่าเขาไม่ได้ฉ้อโกง เขาไม่ได้ไปพิมพ์ขึ้นมา เขาไม่ได้ลักขโมยขึ้นมา แต่เขาก็ทำธุรกิจของเขา แต่มันก็ไม่สะอาด

สัมมาอาชีวะ สัมมาอาชีวะเลี้ยงชีพด้วยความชอบธรรม มันถึงต้องทำได้ยาก แต่ถ้ามันเลี้ยงชีพโดยชอบธรรมของเขา นี่เป็นความชอบธรรมเพราะเขาก็ตั้งของเขา

เราจะบอกว่า แง่กฎหมายมันทำเขาได้ไหม แล้วเราทำไปแล้วมันคุ้มค่าไหม ฉะนั้น มันเป็นเรื่องของระบบ ระบบการตลาดในโลกเขามีอย่างนั้น ถ้ามีอย่างนั้นแล้ว เพียงแต่เราก็รักษาสมบัติของเรา เราก็ไม่ให้มันออกไปเป็นอย่างนั้น ฉะนั้น นี่เราพูดถึงความถูกผิดทางกฎหมาย

แต่เวลาโยมพูดว่าเพื่อนจะพูด โยมยังสะกิดเลยเฮ้ย! พูดเบาๆเพราะมันมุมมอง ถ้าพูดอย่างนี้ต้องบอกมุมมองเลย เขามองว่าดี แต่เรามองว่าเสีย แล้วเขามองว่าดี มองว่ามันจะกว้างขวาง มันจะไปได้ไกล มันจะทำประโยชน์มาก แต่เรามองแล้วเขาจะได้ประโยชน์ เขาจะได้ประโยชน์มาก เพราะประโยชน์ของเขา เขาได้ประโยชน์

ประโยชน์ของเรานะ ดูสิ เวลาเราแข่งขันกัน เราแข่งขันกันเรื่องอะไร ถ้าเราแข่งขันคุณงามความดีนะ เวลาแข่งขันคุณงามความดี เราทำบุญกุศล ทุกคนอยากได้ดี เวลาเป็นบุญๆ บุญนี้เป็นนามธรรม มันเก็บสะสมในหัวใจไม่มีขอบเขต แต่ถ้าเป็นวัตถุต่างๆ มันต้องมีที่เก็บที่อะไร มันมีค่าใช้จ่ายทั้งนั้นน่ะ

ฉะนั้น เวลาเป็นเรื่องของความดี เราแข่งขันเรื่องความดี ความดี เวลาเราประพฤติปฏิบัติ เราพุทโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ

เวลาจิตใจมันสงบเข้ามา เวลาหลวงตาท่านบอกเลย หลวงตาท่านบอกว่า เวลาผู้ที่ชำระล้างกิเลส จิตใจพ้นจากกิเลสไป มันกว้างขวาง มันครอบ ๓ โลกธาตุ ท่านบอกจิตใจนี้เหมือนพญามังกร มันไปในอากาศไม่มีที่สิ้นสุดเลย มันกว้าง มันเวิ้งว้างไปหมด ดูสิ มันยิ่งใหญ่ขนาดไหน ถ้าผลเป็นบุญความจริง มันกว้างขวาง มันไม่มีขอบเขตเลย

แต่ถ้ามันเป็นการแข่งขัน การแข่งขันที่ว่าเราแข่งขันเพื่อประโยชน์กับเรา แข่งต่างๆ ไอ้อย่างนี้มันวัดกัน ๒๐๐, ๖๐๐, ๘๐๐

ตอนนี้เขามาบอกเลย ตามรอยศาสดา มันไปขายเล่มละ ๑,๒๐๐ ขนาดเราคุมขนาดนี้ มันก็แปลกนะ นั่งอยู่นี่ รู้ไปหมด มีคนมารายงานหมด ไปเห็นไง บอกว่าประวัติหลวงปู่มั่นขาย ๔๐๐-๖๐๐ แต่ตามรอยศาสดาขายเล่มละ ๑,๒๐๐ ขนาดเราพยายามจะแจกโดยถึงมือนะ ไม่มาวางให้หยิบเอง มันยังไปเลยนะ

ฉะนั้น มันวัดค่าของใจมันวัดยากเนาะ น้ำทะเลมันยังวัดได้ว่าลึกตื้นขนาดไหน แต่น้ำใจของคนมันวัดไม่ได้ เพียงแต่พวกเราก็ยังปรารถนาดีกันอยู่ ยังจะพิมพ์แจกต่อไป ยังไม่หมดกำลังใจหรอก ยังจะพิมพ์แจกต่อไป

แต่ทีนี้โยมที่ถามมานี่นะ มันมีโยมที่เขาไปเจอ ไปเจอแล้วเขามีสติ เขาเข้าไปคุยกับเขาโดยแบบว่าเป็นมิตร ถามเขาจริงๆ เลยล่ะ เขาบอกหมด เขาบอกซื้อเล่มละ ๒๐๐ ประวัติหลวงปู่มั่น แล้วเขาขาย ๔๐๐-๖๐๐ แต่เล่มตามรอยศาสดาเขาไปเจอเลยว่าเขาตั้งไว้ ๑,๒๐๐ แต่เขาไม่ได้ถาม เขาผ่านมา นี่เขามารายงานหมด

ฉะนั้น เวลาเขาไปเห็นเขายังสลดหดหู่ คำว่าสลดหดหู่เราก็เตือนใจเราไง เราเตือนสติเรา เห็นไหม ทำความดี เราทำความดีกับสังคม ความดีกับโลก เขาเข้าใจเจตนาความดีของพวกเราไหม ความดีของเขา เขาก็มองแบบของเขาไง เขามองแบบของเขา ฉะนั้น พอมองแบบของเขาก็บอกว่าความดี

ที่นี่ เวลาใครมาหาเรานะ เขาบอกว่าพระดี คำว่าพระดีเราไปวัดเลย เขาบอกว่าไปหาหลวงพ่อสิ หลวงพ่อเป็นพระดีแล้วพอมาเจอหลวงพ่อ หลวงพ่อด่าทันทีเลยเอ๊! พระดีทำไมเป็นแบบนี้

คำว่าดีมันดีอย่างไรล่ะ

ถ้าคำว่าดีของเราดีของเราก็มีคุณธรรม ดีของเรา ท่านมีปัญญาสั่งสอนเราได้ ดีของเราคือท่านเป็นแบบอย่างให้เราประพฤติปฏิบัติตามได้

แต่ถ้าความดีของโลกเขาคิดนะ ถ้าความดีนะ ท่านต้องเอาใจเรา ถ้าเป็นความดีนะ ไปแล้วท่านต้องโอ๋เราน่าดูเลย ถ้าเป็นความดีนะ ท่านจะบริการเต็มที่

มันตีความต่างกันไหม

ฉะนั้นบอกว่าไปหาหลวงพ่อสิ หลวงพ่อเป็นพระดี

เอ๊! มันดีอย่างไรวะ

ถ้าเขามา เขาอยู่ในกรอบนะ เออ! แสดงว่าเขาดีเหมือนกัน ดีของโยมกับดีของเราตรงกัน

แต่ถ้าดีของคนอื่นนะอ๋อ! ถ้าดีหลวงพ่อ หลวงพ่อต้องแจกนู่น หลวงพ่อต้องให้ทุกอย่าง หลวงพ่อถึงเป็นพระดี

เออ! อย่างนี้กูไม่ดี เพราะไม่มีจะให้

คำว่าดีเราตีความได้เยอะแยะเลย

ทีนี้ย้อนมาที่หนังสือ หนังสือ ถ้าเขาทำอย่างนั้น ก็อยู่ที่มุมมองหัวใจของเขา คือเราจะบอกว่า เราเกิดมาในโลกนี้มีคนดีและคนไม่ดีอยู่ร่วมกัน เราจะให้คนทุกคนเป็นคนดี เอาที่ไหนเป็นคนดี หัวใจเราเองมันยังพลิกแพลงตลอดเวลา แต่ถ้าเขามีมุมมองอย่างนั้น เขาคิดอย่างนั้น เราไม่ทำแบบนั้นนะ

ถ้าบอกว่าเฮ้ย! เขาเป็นอย่างนั้น ถ้าหลวงพ่อบอกว่าได้ ผมก็เอาบ้าง เล่มละสองร้อย ผมก็จะเอาบ้าง เดี๋ยวผมมา ผมก็เอาไปสองร้อยๆ ๕ เล่มก็ได้พันหนึ่ง

ก็บอกแล้วว่ามันมีกรรม ทำแล้วมันมีผลตอบสนองทั้งนั้นน่ะ กรรมดี กรรมชั่ว แล้วของเขาทำเพื่ออะไร เขาทำเพื่อแจก เขาทำเพื่อเป็นธรรมทาน แล้วเราเอาไป เราไปซื้อขายแลกเปลี่ยน เราเอาประโยชน์กับเขา มันเสียหาย

เราไม่เคยเห็นว่าเป็นความดี แต่ขนาดว่าเราจะไปตามเช็ดตามล้างทุกอย่าง คือเราจะไปควบคุมโลกมันเป็นไปไม่ได้หรอก เราต้องควบคุมหัวใจของเราไง เราเจตนาดี เราทำคุณงามความดี แต่เขาตีความดีเราผิดพลาดไป เขาตีความดีเราบิดเบือนไป เขาตีความดีโดยความเห็นของเขา กรรมของสัตว์ สัตว์มันทำอย่างนั้นมันเป็นเวรเป็นกรรมของสัตว์ แต่พวกเรายังทำความดีต่อไป เราจะทำความดีของเราต่อไป

กรรมของสัตว์ สัตว์คิดได้แค่นั้น สัตว์ทำอย่างนั้น มันเป็นกรรมของสัตว์ แต่มันมีเวรมีกรรมแน่นอน กรรมคือการกระทำ เขาทำแล้วเขาต้องได้รับผลของเขา เขาทำแล้ว แต่เราไม่อยากพูดว่ามันจะได้ผลอย่างไรไง เดี๋ยวจะบอกโอ้โฮ! หลวงพ่อนี่อาฆาต หลวงพ่อนี่แหม! บอกไม่เอาเขานี่อาฆาตใหญ่เลยนะ

คือเขาทำแล้ว เราจะทำอย่างไรล่ะ ของที่มันทำแล้วมันมีเหตุมีปัจจัย แล้วเราจะไปห้ามได้อย่างไรล่ะ มันก็ต้องเป็นผลตามนั้นน่ะ ในเมื่อเขาทำด้วยเหตุด้วยปัจจัย เหตุปัจจัยนั้นมันก็ต้องให้ผลตามเหตุและปัจจัยนั้น

ถ้าทำคุณงามความดี ความดีมันก็ให้ผลเป็นดี เป็นเหตุเป็นปัจจัยที่ดีนั้นไป ถ้าใครทำอย่างนั้นมันก็มีเหตุมีปัจจัยไปอย่างนั้น มันก็ต้องเป็นไปตามเวรตามกรรมของเขา แต่เราก็ยังทำความดีของเราต่อไป เราทำความดีต่อไป

ชีวิตทางเลือก เห็นไหม เกิดมาในท้องเดือนเดียว ชีวิตเขามีอายุเดือนเดียวนะ ชีวิตบางคน ๙ เดือน ชีวิตบางคนคลอดออกมาแล้วยังอีกยาวไกล แล้วคลอดมาแล้ว เราเกิดมาแล้วเราจะเลือกของเรา เราจะเลือกทำความดี เราจะเลือกทำอย่างไร ชีวิตทางเลือก เลือกเอา เอวัง